‘ใบขับขี่’ จำเป็นต่อการเดินทาง ณ ปัจจุบันมาก เนื่องจากถ้าคุณขับขี่รถยนต์โดยไร้ใบขับขี่ ก็เป็นการผิดกฎหมายอีกทั้งยังสามารถโดนตำรวจทั้งจับและปรับได้ นอกจากนี้ถ้าคุณเกิดขับชนขึ้นมา โดยไม่มีใบขับขี่ต่อให้ทำประกันชั้น 1 ก็ไม่อาจใช้งานได้ อีกทั้งยังมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3 เดือน สำหรับในวันนี้เราก็มี ขั้นตอนการทำใบขับขี่ของปี พ.ศ. 2561 มาฝากมือใหม่ที่กำลังเตรียมตัวไปสอบกัน
อันดับแรกคือคุณต้องเข้ารับการอบรม โดยสามารถจองคิวเข้ารับการอบรมได้ทั้งหมด 3 ช่องทาง คือ
- โทรไปจองคิวยังกรมขนส่ง สาขาต่างๆ ที่คุณสะดวก เพียงแต่คุณต้องไปแต่เช้า มิฉะนั้นอาจชวด
- จองคิวอบรมออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ dlt.go.th/ebooking/
- อบรมกับบริษัทเอกชน วิธีนี้ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากไม่ต้องไปจองคิวแต่เช้า แต่จะเสียค่าอบรมประมาณ 500 บาท
เอกสารจำเป็นต้องใช้
- บัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาบัตรประชาชน
- ใบรับรองแพทย์ ไม่เกิน 1 เดือน
- ใบรับรองการอบรม *จากบริษัทเอกชน
- ทดสอบสมรรถภาพร่างกายในด้านต่างๆ
สอบใบขับขี่ภาคทฤษฎี
อบรมทั้งหมด 5 ชั่วโมง ได้แก่เรื่อง…
- กฎระเบียบ 2 ชม.
- ขับขี่อย่างปลอดภัย 1 ชม. 30 นาที
- จิตสำนึกและมารยาท 1 ชม.
- การขับรถฉุกเฉิน – ปฐมพยาบาล เวลา 30 นาที
สอบใบขับขี่ภาคปฏิบัติ
มีทั้งหมด 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ…
- ขับรถเดินหน้าและถอยหลังทางตรง 12 เมตร เดินหน้า 1 ครั้ง ถอยหลัง 1 ครั้ง
- ขับรถเดินหน้าพร้อมหยุดรถเทียบทางเท้า
- ขับรถเดินหน้าให้ห่างจากขอบ ไม่เกิน 25 ซม. ซึ่งล้อหน้าและล้อหลังต้องทับตามเส้นที่กำหนด นอกจากนี้กันชนหน้าต้องไม่เกินเส้นที่กำหนด ประมาณ 1 เมตร
- ขับรถถอยเข้าซอง
- ขับรถถอยหลังเข้าที่จอดรถ ออกจากช่องว่างให้ได้ โดยอนุญาตให้เปลี่ยนเกียร์ได้ไม่เกิน 7 ครั้ง โดยมีกฎเหล็ก คือ ห้ามชน, ห้ามเบียดเสา, รถต้องขนานกับขอบทางซ้าย, กระจกต้องไม่ล้ำออกมาเกินกำหนด โดยเป็นด่านที่มีคนตกมากที่สุด
การชำระค่าธรรมเนียมกับการถ่ายรูปติดใบขับขี่
- ค่าส่งคำขอ 5 บาท
- ค่าใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลชั่วคราว 200 บาท
- ค่าซองใส่ใบขับขี่ 100 บาท
สำหรับใบขับขี่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนที่ใช้รถใช้ถนน เนื่องจากถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาต่อให้คุณทำประกันภัยชั้น 1 เขาก็ไม่คุ้มครอง แต่ถ้าคุณมีใบขับขี่ต่อให้เป็นฝ่ายผิด ทางบริษัทประกันก็มีหน้าที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่อาจมีการจ่ายค่า Excess ในการซ่อมรถยนต์คุณ เพราะคุณเป็นฝ่ายผิด นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย เพราะคุณไม่ได้เป็นผู้ใช้ถนนคนเดียว อย่าลืมว่ายังมีรถยนต์อีกมากมายหลายชีวิตที่ต้องการกลับบ้านอย่างปลอดภัย